'ปุ้ย-พิมลวรรณ' แชร์ประสบการณ์ "โรคงูสวัด" เตือนวัย 50+ อันตรายกว่าที่คิด! ต่อให้ดูแลสุขภาพดีแค่ไหน ก็ยังเสี่ยง ถ้าไม่ป้องกัน

Last updated: 30 ก.ค. 2568  | 

'ปุ้ย-พิมลวรรณ' แชร์ประสบการณ์ "โรคงูสวัด" เตือนวัย 50+ อันตรายกว่าที่คิด! ต่อให้ดูแลสุขภาพดีแค่ไหน ก็ยังเสี่ยง ถ้าไม่ป้องกัน

          ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัดมาตลอดชีวิต ถึงขนาดแพทย์ยังเอ่ยปากชม แต่ “ปุ้ย-พิมลวรรณ หุ่นทองคำ” พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ก็ไม่รอดจากภัยเงียบอย่าง “โรคงูสวัด” ที่จู่ๆ ก็เข้าเล่นงานในวัยเลข 5 แบบไม่ทันตั้งตัว โดยได้ร่วมเปิดใจเล่าถึงประสบการณ์ป่วยรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในงานเสวนา “Age Well Live Well โรคสูงวัยในวัยเก๋า ป้องกันงูสวัดขึ้นตา” พร้อมด้วย พญ.ฤทัยรัตน์ วินิจฉัย จักษุแพทย์ สาขาต้อหินโรงพยาบาลวิภาวดี ที่จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านสุขภาพสนับสนุนการป้องกันโรคงูสวัด ภัยใกล้ตัวของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคงูสวัด

          ปุ้ย - พิมลวรรณ เผยถึงเหตุการณ์เริ่มแรกว่า “ปกติเป็นคนออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารดีๆ พักผ่อนเพียงพอ เรียกว่าดูแลตัวเองดีมาตั้งแต่สาวๆ คิดมาตลอดว่าโรคงูสวัดไกลตัวมาก ไม่มีทางเป็นได้ ไม่ใช่เราแน่นอน แต่ความจริงมันใกล้ตัวกว่าที่คิด เริ่มจากปวดหัวข้างเดียว เข้าใจว่าเป็นไมเกรน ก่อนจะพบผื่นเล็กๆ เพียง 3 จุดขึ้นที่ท้ายทอย คุณหมอผิวหนังทักว่าเป็นงูสวัด ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงได้ขนาดนี้ เลยยังไม่ได้เข้ารักษาในทันที ปล่อยไว้จนอาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว”

          “จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 4 อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นปวดมากจนร้องไห้ ยืนไม่ไหว มือสั่น พูดไม่ไหว มีไข้ร่วมด้วย คุณหมอให้แอดมิททันที เพราะผื่นกำลังจะลามเข้าใบหน้า หู และดวงตา ไวรัสเริ่มลามไปเยอะ อาการเริ่มรุนแรงจนทนไม่ไหว คิดว่าถ้ามาโรงพยาบาลช้ากว่านี้ อาจไม่รอด ต้องรักษาอยู่โรงพยาบาลนานถึง 7 วัน ปกติเป็นคนที่อึดและอดทนมากนะ แต่โรคงูสวัดทรมานที่สุดในชีวิต ไม่ใช่แค่ปวดธรรมดา มันเหมือนไฟช็อตแปล๊บๆ ตลอดเวลา ปวดจนนอนไม่หลับ ส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจ ความมั่นใจในชีวิตประจำวัน ทำงานไม่ได้ ต้องหยุดงานทั้งหมดจากที่เคยทำงานทุกวัน ไม่กล้าให้ใครมาเยี่ยม กลัวติดเชื้อจากเรา บอกเลยว่าชีวิตนี้ไม่อยากกลับไปเป็นอีกแล้ว” พิธีกรสาวเล่าถึงประสบการณ์เป็นโรคงูสวัด

          ด้าน พญ.ฤทัยรัตน์ วินิจฉัย จักษุแพทย์ สาขาต้อหิน โรงพยาบาลวิภาวดี อธิบายว่า “โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกับโรคอีสุกอีใสในวัยเด็ก เชื้อนี้จะหลบซ่อนในปมประสาท พออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อนี้ก็กำเริบขึ้นใหม่ในรูปแบบโรคงูสวัด ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป กว่า 90% เคยติดเชื้ออีสุกอีใสมาแล้ว โรคงูสวัดจะเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นเฉพาะตามแนวเส้นประสาท ขึ้นข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย มาพร้อมอาการปวดรุนแรงเหมือนไฟช็อต เพราะเป็นการอักเสบของเส้นประสาท หากขึ้นที่บริเวณหน้า โดยเฉพาะใกล้ตา เปลือกตา หรือปลายจมูก ก็มีโอกาสลามเข้าดวงตาได้ ซึ่งรุนแรงและทรมานมาก บางคนถึงขั้นเป็นต้อหิน ตาแพ้แสง ความดันตาสูง ต้องรักษานานเป็นปี และอาจไม่หายขาด”

           “อาการแทรกซ้อนบางคนปวดเป็นปี เจอแค่ลมพัดก็ปวด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนอาจกลายเป็นซึมเศร้า นอกจากนี้หากเชื้อลามไปสมอง อาจเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบถึงขั้นเสียชีวิตได้ หรืออาจลามไปปอด เป็นปอดอักเสบได้เช่นกัน ถ้าแกะเกาผื่น ก็เสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย ทำให้เป็นแผลเป็นถาวร ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไต หัวใจ หรือรับยากดภูมิ ยิ่งเสี่ยงเป็นงูสวัดมากขึ้นและอาการรุนแรงกว่า ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป หากเคยเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นอีกได้ ถ้าภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำดูแลสุขภาพต่อเนื่อง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และวัย 50 ปีขึ้น แนะนำเข้ารับคำปรึกษากับ บุคลการทางการแพทย์เกี่ยวกับโรค หรือวัคซีน” พญ.ฤทัยรัตน์ อธิบายเสริม

          ปุ้ย - พิมลวรรณ ยังได้ฝากทิ้งท้ายถึงวัย 50+ ในการดูแลสุขภาพว่า “ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน อย่าคิดว่าไกลตัว จากที่คิดว่าไม่น่าเป็นเรา กลายเป็นว่าเราเจอเต็มๆ มันใกล้ตัวกว่าที่เราคิด เพราะผื่นเล็กๆ แต่ความเจ็บปวดนี้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ไม่อยากให้ใครต้องเป็นเลย”

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้